ระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมในประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยยังคงสูงอยู่ คือ อยู่ที่ระดับร้อยละ 19 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะมีต้นทุนโลจิสติกส์อยู่ที่ระดับร้อยละ 7-11 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เช่น ญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับร้อยละ 11 สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับร้อยละ 9 และสาธารณรัฐสิงคโปร์อยู่ที่ระดับร้อยละ 8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยปัญหาของอุตสาหกรรมของไทยมีหลายด้าน อาทิ กฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร เทคโนโลยีและฐานข้อมูล และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่ไม่เอื้ออำนวยล้วนส่งผลต่อการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทย
วัตถุประสงค์ในการศึกษา
ศึกษากระบวนการและกิจกรรมทางด้านโลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต กระบวนการจัดเก็บ การขนย้าย รวมไปจนถึงการส่งมอบไปยังลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเพื่อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนา และปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ ตลอดจนนำเสนอ Best Practice การบริหารจัดการโลจิสติกส์สำหรับอุตสาหรรมพื้นฐาน (เหล็ก และ เซรามิก) ทั้งนี้หนึ่งในผลผลิตโดยตรงจากการศึกษากระบวนการและกิจกรรมทางด้านโลจิสติกส์ คือ ระยะเวลาในห่วงโซ่อุปทาน โครงสร้างต้นทุน และต้นทุนโลจิสติกส์อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมเซรามิก ดังนั้นสำหรับโครงการในปี 2551 นี้ จะเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอุตสาหกรรมพื้นฐาน (ปี 2550) โดยนำต้นทุนโลจิสติกส์อุตสาหกรรมเหล็กและอุตสาหกรรมเซรามิกที่ได้ มาทำการวิเคราะห์โดยใช้แบบจำลองทางด้านเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ เพื่อศึกษาผลกระทบของปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดทำและเผยแพร่ดัชนีต้นทุนโลจิสติกส์อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมเซรามิก เป็นรายเดือน และรายไตรมาส ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และเป็นข้อมูลทางสถิติที่ภาครัฐนำไปใช้เป็นตัวเลขอ้างอิงประกอบการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ และสังคม และเป็นประโยชน์สำหรับภาคเอกชน ในการกำหนดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้